หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การตอบสนองของพืชต่อน้ำ


     การตอบสนองของพืชต่อปริมาณน้ำ สังเกตได้จากพืชชที่เจริญเติบโตในบริเวณที่แห้งแล้ง เช่น พืชในทะเลทราย ซึ่งบริเวณทะเลทรายในแต่ละปีจะมีฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 250 มิลลิเมตรต่อปี ดังนั้นพืชที่ขึ้นในทะเลทรายจะต้องมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อปริมาณน้ำที่มีน้อย โดยพืชบางชนิดจะมมีพืชบางชนิดลดขนาดของใบหรือเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของหนามเพื่อลดการสูญเสียน้ำ

ตัวอย่าง การตอบสองของพืชต่อน้ำ
เมื่อเกิดน้ำท่วน

                ภาพต้นไม้เฉาไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เห็นเมื่อต้นไม้โดยน้ำท่วมอยู่ เพราะคำว่าเฉามักสอดคล้องกับความแห้งแล้ง หรือสภาวะที่พืชขาดน้ำ ไม่น่าจะเกิดกับพืชเมื่อมีน้ำอยู่ล้อมรอบทั้งต้นของมัน แต่ภาพที่เราเห็นจริงๆในช่วงน้ำท่วมคือพืชยืนต้นเฉาอยู่ท่ามกลางผืนน้ำและแสงแดด สิ่งที่เราเห็นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
                ก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่ายอดและรากพืช คือส่วนของต้นไม้ต้นเดียวกัน แต่ละส่วนมีหน้าที่ของมัน แต่เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดไม่สามารถทำหน้าที่ได้ อีกส่วนหนึ่งก็จะมีปัญหา และเมื่อพืชไม่สามารถทำงานได้ทั้งยอดและราก พืชก็จะต้องตาย
                 เมื่อรากไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากภาวะขาดออกซิเจนอันเนื่องมาจากต้องจมน้ำอยู่เป็นเวลานาน รากไม่สามารถดูดสารอาหารมาให้แก่ยอดพืชได้ โดยเฉพาะไนโตรเจนที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีน เช่นเอนไซม์ต่างๆ เนื่องจากไนโตรเจนถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซด้วยกระบวนการดีไนตริฟิเคชัน (denitrification) โดยแบคทีเรียที่อยู่ในดินและในน้ำในภาวะน้ำท่วมนั้น ใบพืชอ่อนจะดึงไนโตรเจนออกจากใบพืชแก่ แต่ก็จะทำให้ใบที่มีอายุมากมีอายุสั้นลง
                  ในภาวะน้ำท่วม ไม่ได้หมายความว่าพืชจะดูดน้ำได้ตลอดเวลา ในความเป็นจริงแล้วพืชประสบปัญหาในการดูดน้ำเข้าไปต่างหาก พืชจึงจำต้องมีกระบวนการลดการสูญเสียน้ำ และด้วยการสื่อสารกันภายในต้นพืชระหว่างรากกับยอด ทำให้เกิดการตอบสนองของยอดต่อภาวะดังกล่าวนี้โดยการปิดปากใบอย่างรวดเร็วน่าจะเกิดจากฮอร์โมนพืชเช่น แอบไซซิค (abscisic acid; ABA) แต่อาจมีปัจจัยอื่นหรือฮอร์โมนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือหุบใบลง นักวิทยาศาสตร์ศึกษามะเขือเทศและพบว่าเมื่อรากขาดออกซิเจนสารตั้งต้นสำหรับการสร้างเอธิลีนจะเพิ่มขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปเอธิลีนจะเพิ่มขึ้นมากในส่วนของยอดพืช และอีกสาเหตุหนึ่งมาจากการเพิ่มการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเอธิลีน มีงานวิจัยที่พยายามหาความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างเอธิลีนต่อการเปลี่ยนแปลงของต้นพืช เช่นการปิดปากใบและการหุบของใบโดยใช้เครื่องมือเช่น photoacoustic spectroscopy เป็นต้น
                ******แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดการคายน้ำลงนี้ เป็นเสมือนการปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะพืชจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่รากไม่สามารถทำงานได้เช่นนี้ พืชต้องปรับตัวหาทางชดเชยการทำงานที่เสียไปของรากในภาวะน้ำท่วมเช่นนี้ให้ได้หากจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ซึ่งในลำดับต่อไปนี้จะเป็นวิธีการที่เราพบว่าพืชหาทางแก้ไขปัญหา เมื่อต้องอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน
                 พืชต้องหาทางนำออกซิเจนไปให้ราก เพื่อให้รากสามารถสร้างพลังงาน และดูดน้ำและแร่ธาตุขึ้นมาให้ได้ หรือต้องหาทางสร้างรากรุ่นใหม่ ที่มีการถ่ายเทอากาศที่ดีกว่ารากรุ่นก่อนนี้ ที่อาจจะตายไปแล้วหลังจากอยู่ในน้ำนาน และพืชที่มีกลไกเอื้อให้เกิดการปรับตัวเหล่านี้จะมีโอกาสที่จะอยู่รอดได้มากกว่า
                นักวิทยาศาสตร์สังเกตุพบว่าการเสริมสร้างระบบที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีขึ้นในส่วนยอด หรือยอดส่วนล่าง หรือส่วนยอดที่จมน้ำเองด้วยนั้น จะมีการสร้างช่องอากาศ (lenticel) ตามลำต้น การเกิดแอเรงคิมา (aerenchyma) จากเซลล์บางส่วนที่ตายไป ซึ่งอาจเกิดจากการกระตุ้นโดยเอธิลีนที่เกิดขึ้นจากเซลล์ที่มีความเครียดจากการจมอยู่ใต้น้ำของเนื้อเยื่อส่วนอื่น เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์ทดลองเอาจาระบีไปยาตามแนวของช่องอากาศหรือเลนติเซล พบว่าปริมาณออกซิเจนที่ไปยังรากมีค่าน้อยลง นอกจากนี้ช่องอากาศอาจใช้เป็นที่ระบายของเสียจากการกระบวนการเมแทบอลิซึม
               พืชที่สามารถสร้างรากทดแทนขึ้นแทนรากเก่าได้ และมีการถ่ายเทอากาศที่ดีกว่ามีโอกาสอยู่รอดมากกว่าในภาวะน้ำท่วมที่ยาวนาน โดยรากใหม่เหล่านี้บางครั้งพบว่าเกิดขึ้นใหม่เหนือดิน แม้ว่าอาจจะยังอยู่ในน้ำ แต่ก็มีโอกาสได้รับออกซิเจนมากกว่ารากที่ยังอยู่ในดิน ในพืชบางชนิด มีเยื่อเจริญที่จะเจริญออกมาเป็นรากอยู่บริเวณลำต้นอยู่แล้ว ก็จะสามารถสร้างรากใหม่ได้ด้วยเยื่อเจริญนี้ กลไกต่อมาที่เป็นไปได้คือการเหนี่ยวนำให้เกิดเยื่อเจริญของรากขึ้นมาใหม่ โดยพบกระบวนการเช่นนี้ในทานตะวันเป็นต้น โดยมีฮอร์โมนพืชเช่นออกซิน (auxin) และเอธิลีน (ethylene) ที่ทำให้เกิดรากใหม่นี้ และมีหลายงานวิจัยที่รายงานการเปลี่ยนทิศทางการเจริญของรากในดินที่ถูกน้ำท่วม โดยจะเจริญขึ้นสู่ผิวดิน แทนที่จะแทงลึกลงไป และเมื่อโผล่พ้นดินแล้วก็จะมีส่วนช่วยให้เกิดการถ่ายเทอากาศได้ดีขึ้นได้
                ที่สุดของการที่ต้องอยู่ในภาวะน้ำท่วมคือการที่ต้นพืชทั้งต้นต้องจมอยู่ในน้ำ แล้วพืชตอบสนองอย่างไรในภาวะเช่นนี้?
                ในพืชที่ต้องผจญกับภาวะน้ำท่วมอยู่เป็นระยะ จะมีวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวเพื่อให้ส่วนยอดโผล่พ้นน้ำให้ได้ โดยการยืดลำต้นขึ้นเพื่อให้พ้นน้ำโดยเร็ว และมักจะเป็นการตอบสนองที่ค่อนข้างเร็วเช่นไม่เกินสองชั่วโมงหลังจากจมอยู่ใต้น้ำ พืชบางจะชนิดก็จะยืดลำต้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ส่วนยอดได้ออกซิเจนมากขึ้น เพราะบริเวณใกล้ผิวน้ำมีออกซิเจนละลายในน้ำมากกว่า และมีแสงสำหรับการสังเคราะห์แสงมากกว่าด้วยเช่นกัน การตอบแสดงแบบนี้ในพืชบางชนิดไม่ต้องคอยให้น้ำท่วมทั้งต้น แค่ท่วมถึงส่วนฐานของส่วนยอด พืชเช่นข้าวโพดก็เริ่มยืดตัวเตรียมไว้ก่อนแล้วเป็นต้น
                ฮอร์โมนเช่นเอธิลีนที่สะสมในเนื้อเยื่อพืชที่จมอยู่ใต้น้ำมีส่วนช่วยให้พืชยืดตัว แม้ว่าในพืชทั่วไปเอธิลีนจะยับยั้งการยืดตัวของยอด นอกจากนี้ก็มีฮอร์โมนเช่นจิบเบอเรลลินและออกซินที่ช่วยยืดและเพิ่มขนาดเซลล์ให้พืชยืดลำต้นให้พ้นน้ำโดยไว หรืออาจจะเกิดจากการสลายของฮอร์โมนแอบไซซิก (abscisic acid) ที่เร็วขึ้น ที่เดิมจะคอยยับยั้งการยืดของยอดเช่นกัน นอกจากนี้ก็เกี่ยวข้องกับการแสดงออกของยีนที่นสร้างเอนไซม์เอ็กซ์แพนซิน (expansin) ที่ทำให้เซลล์พืชยืดตัวเพิ่มขึ้น แต่พืชบางชนิดที่สร้างเอธิลีนไม่ได้ก็ยังยืดตัวได้ในน้ำ แสดงว่าเอธิลีนไม่ได้เป็นกลไกเดียวที่ทำให้พืชยืดตัวหนีน้ำเช่นนี้
                  ในบางกรณียังพบว่าการยืดตัวนี้ไม่ใช่หนทางเดียวที่พืชจะเอาตัวรอด ในข้าวนั้น นักวิทยาศาสตร์พบว่าการเติบโตจะลดลง แต่ก็ยังรอดอยู่ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถยืดลำต้นพ้นน้ำได้รวดเร็ว สถานการณ์เช่นนี้มักเกิดเวลาที่ข้าวเป็นเพียงต้นกล้า มีขนาดเล็ก และหากใช้พลังงานทั้งหมดในการยืดต้นให้พ้นน้ำ อาจจะไม่มีพลังงานและทรัพยากรเพียงพอ จึงเลือกวิธีประหยัดพลังงานแทนก็ได้ ดังนั้นเพื่อจะให้รอดพ้นจากภาวะจาดอากาศ พลังงาน และสารอาหาร พืชอาจตอบสนองด้วยกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ร่วมกัน การคัดเลือกลักษณะเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมอยู่เสมอ และทำหน้าที่เป็นตัวคัดเลือกพืชที่จะอยู่รอดต่อไปในอนาคต
อ้างอิง: Jackson, M.B. in Waterlogging and Submergence Stress: Its Nature and Impact (http://www.plantstress.com/articles/waterlogging_i/waterlog_i.htm, retrieved October 2010)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น