หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช


              สารควบคุมการเจริญเติบโต  หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า  ฮอร์โมน  จัดเป็นกลุ่มของสารที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันนี้   เนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางและเห็นผลได้ค่อนข้างเด่นชัด  โดยมากใช้ในการติดผล  เร่ง หรือชะลอการแก่  การสุกซึ่งลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ถูกควบคุมโดยสารแต่ละชนิดแตกต่างกันไปดังนั้น   ถ้ามีการเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องก็จะทำให้เราสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของพืชได้ตามต้องการ
                เมื่อกล่าวถึงฮอร์โมนพืช  (plant   hormones)   ก็เชื่อว่าทุกท่านคงเคยได้ยินและรู้จักว่าเป็นสารที่ใช้ฉีดพ่นให้ต้นไม้เพื่อให้มีการออกดอก   ติดผลตามที่ต้องการ   แต่โดยความจริงแล้ว   คำว่า  ฮอร์โมน    พืชนี้มีความหมายในเชิงวิชาการว่า  เป็นสารอินทรีย์ที่พืชสร้างขึ้นเองในปริมาณน้อยมาก   แต่มีผลในด้านการส่งเสริมหรือยับบั้งการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาภายในต้นพืชนั้น ๆ  ทั้งนี้ไม่รวมพวกน้ำตาลหรือสารอาหารที่เป็นอาหารพืชโดยตรง   จะเห็นได้ว่าพืชสร้างฮอร์โมนขึ้นน้อยมาก   โดยมีปริมาณเพียงพอที่จะควบคุมการเติบโตภายในต้นพืชนั้น ๆ   ดังนั้นการสกัดฮอร์โมนออกมาจากต้นพืช   เพื่อไปพ่นให้ต้นไม้อื่น ๆ จึงเป็นเรื่องยากและไม่คุ้มค่า   จึงได้มีการค้นคว้าและสังเคราะห์สารต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนธรรมชาติขึ้นมาใช้ประโยชน์แทนเมื่อเป็นเช่นนี้   สารที่เรานำมาฉีดพ่นให้ต้นพืชเพื่อให้เกิดลักษณะตามที่เราต้องการนั้น   จึงไม่ใช่ฮอร์โมนพืช   แต่จัดเป็นสารสังเคราะห์   ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมน   จึงได้มีการบัญญัติศัพท์ทางวิชาการขึ้นมา  ว่าสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช   (plant   growth   regulators)   ซึ่งมีความหมายถึงฮอร์โมนพืชและสารสังเคราะห์   มีคุณสมบัติในการกระตุ้นยับยั้งหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางสรีรวิทยาของพืชได้
                การเติบโตของพืชในทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่ถูกควบคุมโดยฮอร์โมนทั้งสิ้น   ไม่ว่าจะเป็นการงอกของเมล็ดจนกระทั่งต้นตาย   ดังนั้นการใช้สารสังเคราะห์   ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนฉีดพ่นให้กับต้นพืชจึงเป็นการเปลี่ยนระดับความสมดุลของฮอร์โมนภายใน   ทำให้ต้นพืชแสดงลักษณะต่าง ๆ ออกมานอกเหนือการควบคุมของธรรมชาติแต่ก่อนที่จะใช้สารสังเคราะห์เหล่านี้ให้ได้ผลควรที่จะต้องศึกษาคุณสมบัติฮอร์โมนและสารสังเคราะห์ชนิดต่าง ๆ โดยละเอียดเสียก่อน
                สารควบคุมการเจริญเติบโตแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป   ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้  7  กลุ่มด้วยกัน  คือ
                1.   ออกซิน   (auxins)   เป็นกลุ่มของสารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขยายขนาดของเซลล์   (cell   enlargement)   การแบ่งตัวของเซลล์ในแคมเบี่ยม   การขยายขนาดของใบ   การเกิดราก   การขยายขนาดของผล   ป้องกันการหลุดร่วงของใบ  ดอก   ผล   ยับยั้งการแตกตาข้าง   ฮอร์โมนที่พืชสร้างขึ้นก็คือ   ไอเอเอ   (IAA)   โดยสร้างมากที่บริเวณปลายยอก   ปลายราก   ผลอ่อน   และบริเวณที่มีเนื้อเยื่อเจริญ  (meristematic   tissue)   อยู่มาก   ปริมาณ   ไอเอเอภายในเนื้อเยื่อพืชแต่ละส่วนมีมากน้อยแตกต่างกันไป   โดยจะมีอยู่มากในส่วนที่กำลังเจริญเติบโต   การรักษาระดับปริมาณภายในเนื้อเยื่อพืชถูกควบคุมโดยระบบการสร้างและการทำลายพร้อม ๆ กันไป   ถ้าเป็นเนื้อเยื่อที่กำลังเจริญเติบโตจะมีการสร้างมากกว่าการทำลาย   และในทางตรงกันข้าม   ในเนื้อเยื่อที่มีอายุมากขึ้น   จะมีการทำลายมากกว่าการสร้าง

                สารสังเคราะห์ที่จัดอยู่ในกลุ่มออกซิน  ที่ใช้กันมากได้แก่
                                เอ็นเอเอ   (NAA)
                                ไอบีเอ   (IBA)
                                4-ซีพีเอ   (4-CPA)
                                2,4-ดี   (2,-4-D)

                2.   จิบเบอเรลลิน   (gibberellins)   เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการยืดตัวของเซลล์   (cell   elongation)   ทำลายการพักตัวของพืช   กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด   และยับยั้งการออกดอกของพืชบางชนิด   สารกลุ่มนี้มีทั้งที่พืชสร้างขึ้นเอง  และเชื้อราบางชนิดสร้างขึ้น   ในปัจจุบันพบจิบเบอเรลลินทั้งหมด   71   ชนิด   โดยที่ทุกชนิดเรียกชื่อเหมือนกันคือ   จิบเบอเรลลิน   เอ  หรือ  จีเอ  (gibberellin  A)   (GA)   แต่มีหมายเลขตามหลังตั้งแต่  1  ถึง  71  เช่น  จีเอ  3,  จีเอ 4,  จีเอ 7  (GA3 , GA,GA7)   สารจีเอ  3  เป็นจิบเบอเรลลินที่นำมาใช้มากทางการเกษตร   โดยมีชื่อเรียกเฉพาะของสาร  จีเอ  3  ว่า  จิบเบอเรลลิกแอซิค   (gibberellic   acid)   พืชสามารถสร้างจีเอ3   ได้โดยมีปริมาณน้อยมาก   ซึ่งจีเอ  3   ที่นำมาใช้ทางการเกษตรนั้น  ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเชื้อราบางชนิดแล้วสกัดจีเอ  3   ออกมาเนื่องจากปัจจุบันยังไม่สามารถสังเคราะห์  จีเอ  ได้ด้วยวิธีทางเคมี

                3.   ไซโตไคนิน   (cytokinins)   เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของพืช   ชะลอการแก่ชราและกระตุ้นการแตกตาข้าง   พบมากในบริเวณเนื้อเยื่อเจริญและในศัพภะ   (embryo)   ส่วนใหญ่แล้วไซโตไคนินมีการเคลื่อนย้ายน้อย   แต่มีคุณสมบัติสำคัญในการดึงสารอาหารต่าง ๆ มายังแหล่งที่มีไซโตไคนินสะสมอยู่   (cytokinin-induced   translocaton)   ฮอร์ดมนที่พบในพืชได้แก่   ซีอาติน   (zeatin)   ส่วนการสังเคราะห์ที่อยู่ในกลุ่มไซโตไคนิน  ได้แก่
                                บีเอพี   (BAP)
                                ไคเนติน   (Kinetin)

                4.   เอทิลินและสารปลดปล่อยเอทิลีน   ethylene   and   ethylene   releasing   compounds)   เอทิลีนเป็นก๊าซชนิดหนึ่งและจัดเป็นฮอร์โมนพืช   เนื่องจากพืชสร้างขึ้นมาได้  โดยมีผลควบคุมการแก่ชรา   การสุก   รวมทั้งการออกดอกของพืชบางชนิดและเกี่ยวของกับการหลุดร่วงของใบ   ดอกผล  การเหลืองของใบ  การงอกของหัวพืช   และเมล็ดพืชบางชนิด   เอทิลีนจะสร้างมากในส่วนของพืชที่กำลังเข้าสู่ระยะชราภาพ   (senescence)  เช่น  ในผลแก่หรือใบแก่ใกล้หลุดร่วง   เนื่องจากเอทิลีนเป็นก๊าซดังนั้นจึงฟุ้งกระจายไปได้ทั่ว   จึงไม่มีการเคลื่อนย้ายเหมือนกับฮอร์โมนในกลุ่มอื่น ๆ  สารอินทรีย์บางชนิดมีคุณสมบัติคล้ายเอทิลีน   เช่น   อะเซทิลีน  (acetylene)   โปรปิลิน  (propylene)   ดังนั้นจึงอาจนำสารเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้เช่นกัน   ยกตัวอย่างได้แก่การใช้อะเซทิลีนในการบ่มผลไม้  และ  เร่งการออกดอกของสับปะรด  เป็นต้น   แต่เนื่องจากว่าสารที่กล่าวมานี้เป็นก๊าซจึงมีความยุ่งยากในการใช้และไม่สามารถควบคุมความเข้มข้นได้แน่นอน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ในแปลงปลูกพืช   ดังนั้นจึงได้มีการสังเคราะห์สารบางชนิด   ซึ่งเป็นของเหลวแต่สามารถปลดปล่อยหรือสลายตัวได้  ก๊าซเอทิลีน   ซึ่งได้แก่
                                เอทีฟอน  (ethephon)
                                เอตาเซลาซิล  (etacelasil)
                สารเอทีฟอน  จัดว่าเป็นสารที่นำมาใช้ประโยชน์มากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง  และในปัจจุบันใช้กันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมสับปะรด

                5.   สารชะลอการเจริญเติบโตของพืช  (plant   growth   retardants)   สารกลุ่มนี้ไม่จัดเป็นฮอร์โมนพืช   แต่เป็นสารสังเคราะห์ทั้งหมด   มีคุณสมบัติสำคัญ   คือยับยั้งการสร้างหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนจิบเบอเรลลินในพืช   จึงมีผลลดการยืดตัวของเซลล์ทำให้ปล้องสั้น   ใบหนา  เขียวเข้ม  กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิดและมีคุณสมบัติอื่น ๆ  ได้แก่  ทำให้พืชทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม  เช่น  ร้อนจัด  เย็นจัด  ดินแห้ง  ดินเกลือ   เพิ่มผลผลิตพืชบางชนิด   เพิ่มการติดผลของพืชบางชนิด   สารชะลอการเจริญเติบโตที่สำคัญได้แก่
                                แอนซิมิดอล   (ancymidol)
                                คลอมีควอน   (chlormequat)
                                แดมิโนไซด์   (daminozide)
                                พาโคลบิวทราโซล   (paclobutrazol)

                6.   สารยับยั้งการเจริญเติบโต   (plant   growth   inhibitors)   สารกลุ่มนี้มีหน้าที่ในการถ่วงดุลกับสารเร่งการเติบโตพวกออกซิน   จิบเบอเรลลิน  และไซโตไคนิน   เพื่อให้การเติบโตเป็นไปอย่างพอเหมาะพอดี  ส่วนใหญ่มีหน้าที่ยับยั้งการแบ่งเซลล์   และการเติบโตของเซลล์  ทำให้เกิดการพักตัว   (dormancy)   และเกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของอวัยวะพืชฮอร์โมนในกลุ่มนี้มีพบในพืชมีกว่า   200  ชนิด   แต่ที่สำคัญที่สุดและรู้จักกันดีคือ  เอบีเอ  (ABA)   (abscisic   acid)   ในทางการเกษตรมีการใช้ประโยชน์จากสารกลุ่มนี้น้อยมาก   อย่างไรก็ตามมีการใช้สารสังเคราะห์เพื่อประโยชน์บางอย่างเช่นยับยั้งการงอกของหัวมันฝรั่งและหอมหัวใหญ่  ระหว่างการเก็บรักษา  ใช้แทนการเด็ดยอด   (pinching)   เพื่อกระตุ้นให้แตกตาข้าง  รวมทั้งยับยั้งการเติบโตทางกิ่งใบ   ซึ่งมีผลในการกระตุ้นดอกได้ในพืชบางชนิด   สารสังเคราะห์ที่สำคัญได้แก่
                                คลอดฟลูรีนอล   (Chlorflurenol)
                                ไดกูแลก   โซเดียม   (dikegulac   sodium)
                                มาเลอิกไฮดราไซด์   (maleic   hydrazide)
                                ทีไอบีเอ   (TIBA)

                7.   สารอื่น ๆ  (miscellaneous)   เป็นกลุ่มสารที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากทั้ง  6  กลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น   ส่วนใหญ่ใช้เพื่อประโยชน์เฉพาะอย่าง   เช่น   เพิ่มผลผลิต   ขยายขนาดผล   ป้องกันผลร่วง   ช่วยในการแบ่งเซลล์   อย่างไรก็ตามยังจัดว่ามีประโยชน์ค่อนข้างน้อยและการใช้ยังไม่กว้างขวาง   ยกตัวอย่างสารเหล่านี้ได้แก่   เออร์โกสติม ,  อโทนิก  เป็นต้น

ประโยชน์ของสารควบคุมการเจริญเติบโต
                สารควบคุมการเจริญเติบโตนำมาใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางทั้งทางด้านการเพิ่มผลผลิต  การผลิตพืชนอกฤดู  ลดแรงงานในการผลิตพืช  เป็นต้น  การใช้สารให้ได้ผลตามที่ต้องการนั้นจะต้องทราบคุณสมบัติของสารแต่ละชนิดและเลือกใช้ให้ถูกกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ   จึงขอยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากสารเหล่านี้เพียงบางประการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการผลิตพืชต่อไป
                1.   ออกซิน  คุณสมบัติที่สำคัญของออกซินข้อหนึ่งคือ  ความสามารถในการกระตุ้นการเกิดรากและการเจริญของราก   จึงได้มีการนำออกซินมาใช้กับกิ่งปักชำหรหือกิ่งตอนของพืชทั่ว ๆ ไป  เพื่อเร่งให้เกิดรากเร็วขึ้นและมากขึ้น
                นอกจากนี้พืชบางชนิดออกรากได้ยาก  แต่ถ้ามีการใช้ออกซินเข้าช่วยก็จะทำให้ออกรากได้ง่ายขึ้น   สารที่นิยมใช้ในการเร่งรากคือ   เอ็นเอเอ  (NAA)   และไอบีเอ   (IBA)   ซึ่งทั้ง  2  ชนิดนี้จัดว่าเป็นออกซินอย่างอ่อน   มีพิษต่อพืชน้อย   รากที่เกิดขึ้นจากการใช้สาร  2  ชนิดนี้จึงมักไม่มีอาการผิดปกติ   แต่ถ้าใช้สารพวก  2,4-ดี  หรือ  4-ซีพีเอ   ซึ่งฤทธิ์ของออกซินสูง   จะทำให้รากผิดปกติ  คือกุดสั้นรากหน้าเป็นกระจุก  ประโยชน์ของออกซินอีกข้อหนึ่งคือ   ใช้ป้องกันผลร่วงได้ในพืชหลายชนิด  เช่น  มะม่วง  มะนาว  ส้ม  ลางสาด  ขนุน  มะละกอ   เนื่องจากออกซินมีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างรอยแยก   (abscission   layer)   ในบริเวณขั้วผลได้  อย่างไรก็ตาม   ออกซินไม่สามารถยับยั้งการร่วงของผลได้ในบางกรณี   เช่น   การร่วงเนื่องจากโรคและแมลงเข้าทำลาย  การร่วงของผลที่ไม่มีการปฎิสนธิเกิดขึ้น  หรือการร่วงเนื่องจากความผิดปกติของผล   ออกซินที่นิยมใช้ในการป้องกันการร่วงของผลคือ   เอ็นเอเอ ,  2 ,  4-ดี   และ  4-ซีพีเอ   แต่จะไม่ใช้  ไอบีเอ   เนื่องจาก  ไอบีเอ ก่อให้เกิดพิษกับใบพืช
                ทางด้านการเร่งดอกนั้น   อาจกล่าวได้ว่า  ออกซินไม่มีคุณสมบัติทางด้านนี้โดยตรง  ในต่างประเทศเคยมีการใช้   เอ็นเอเอ   เพื่อเร่งดอกสับปะรด   ซึ่งก็ได้ผลดีพอสมควร   ต่อมาจึงพบว่าการที่สับปะรดออกดอกได้นั้น   เกิดขึ้นจากการที่   เอ็นเอเอไปกระตุ้นให้ต้นสับปะรดสร้างเอทิลีนขึ้นมา   และเอทิลีนนั้นเองเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดดอก
                ผลทางด้านอื่น ๆ  ของออกซินได้แก่  การเปลี่ยนเพศดอก  ซึ่งปัจจุบันชาวสวนเงาะในประเทศไทยใช้กันอยู่ทุกแห้ง   โดยใช้   เอ็นเอเอ   พ่นไปที่ช่อดอกเงาะบางส่วน   ทำให้ช่อดอกที่ถูกสารเปลี่ยนจากดอกสมบูรณ์เพศที่ทำหน้าที่ตัวเมียกลายเป็นดอกตัวผู้ขึ้นมาแทนซึ่งทำให้เกิดการถ่ายละอองเกสรและเกิดการปฎิสนธิขึ้นได้   การใช้ออกซินความเข้มข้นสูง   ไม่ว่าชนิดใดตาม   มักจะก่อให้เกิดความเป็นพิษกับพืช   เช่น   ใบร่วง   ต้นชะวักการเติบโต   จนกระทั่งทำให้ต้นตายได้   ดังนั้นจึงมีการใช้สาร  2,4-ดี   ซึ่งมีฤทธิ์ของออกซินสูงมาก   เป็นยากำจัดวัชพืชอย่างกว้างขวาง

                2.   จิบเบอเรลลิน   มีคุณสมบัติสำคัญเกี่ยวข้องกับการยืดตัวของเซลล์   ดังนั้นจึงใช้ในการเร่งการเติบโตของพืชทั่ว ๆ ไปได้ผักกินใบหลายชนิดตอบสนองต่อจิบเบอเรลลินได้ดี   โดยจะมีการเติบโตของเซลล์รวดเร็วขึ้น   ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น   ผักบางชนิดที่มีการเติบโตของต้นเป็นแบบกระจุก  (rosette   plant)   เช่น   ผักกาดหอมห่อ   ผักกาดขาวปลี   กะหล่ำปลี   ถ้ามีการใช้จิบเบอเรลลินกับพืชเหล่านี้ในระยะต้นกล้า   จะทำให้เกิดการยืดตัวของต้นอย่างรวดเร็ว   และออกดอกได้   ซึ่งเป็นประโยชน์ในแง่การผลิตเมล็ดพันธุ์ในกรณีของไม้ผลยืนต้นหลายชนิด   เช่น   มะม่วง   ส้ม   และไม้ผลเขตหนาวอื่น ๆ  พบว่า   จิบเบอเรลลินมีผลเร่งการเติบโตทางด้านกิ่งใบและยับยั้งการออกดอก   ดังนั้นในกรณีที่ต้องการเร่งใบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นกล้าจึงอาจใช้จิบเบอเรลลินให้เป็นประโยชน์ได้   จิบเบอเรลลินยังมีผลช่วยขยายขนาดผลได้   เช่น   องุ่น   มะม่วง   ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้อยู่ในบางสวนของประเทศไทย   ประโยชน์ทางด้านอื่น ๆ ของจิบเบอเรลลิน   ได้แก่   ใช้ในการเปลี่ยนแปลงดอกของพืชยางชนิด   เช่น   พืชตระกูลแตง   และข้าวโพดหวาน   ให้มีดอกตัวผู้มากขึ้น   เพื่อประโยชน์ในการถ่ายละอองเกสรและยังใช้ทำลายการพักตัวของหัวมันฝรั่งและเมล็ดพืชยางชนิดได้

                3.   ไซโตไคนิน   คุณสมบัติในการช่วยแบ่งเซลล์ของไซโตไคนินมีประโยชน์ในงานเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นอย่างมาก   โดยใช้ผสมเข้าไปในสูตรอาหารเพื่อช่วยการเติบโตของแคลลัสและกระตุ้นให้ก้อนแคลลัสพัฒนากลายเป็นต้นได้  ประโยชน์ทางด้านอื่นของไซโตไคนินมีค่อนข้างกำจัด   นอกจากการนำมาใช้เร่งการแตกตาของพืช   ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการควบคุมทรงพุ่มและเร่งการแตกตาของพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยการติดตาแล้ว   ไซโตไคนินยังมีคุณสมบัติชะลอการแก่ชราของพืชได้   จึงสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผักกินใบและผลไม้   รวมทั้งดอกไม้ได้หลายชนิด   แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเพียงงานทดลองเท่านั้น   ยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงจัง

                4.   เอทิลีนและสารปลดปล่อยเอทิลีน   เป็นสารเร่งการสุกของผลไม้จึงใช้ในการบ่อมผลไม้โดยทั่ว ๆ  ไป   การสุกของผลไม้ตามปกติก็เกิดจากการที่ผลไม้นั้นสร้างเอทิลีนกับผลไม้ที่แก่จัดจึงสามารถเร่งให้เกิดการสุกได้เร็วกว่าปกติ   โดยที่คุณภาพของผลไม้ไม่ได้เปลี่ยนไป   ในต่างประเทศใช้ก๊าซเอทิลีนเป็นตัวบ่อมผลไม้โดยตรง   แต่ต้องสร้างห้องบ่มโดยเฉพาะ   ส่วนในประเทศไทยไม่มีห้องบ่อมจึงใช้ถ่านก๊าซ  (calcium   Carbide)   ในการบ่อมผลไม้แทน   โดยที่ถ่านก๊าซเมื่อทำปฎิกริยากับน้ำจะได้ก๊าซอะเซ่ทิลีนออกมา   ซึ่งมีผลเร่งการสุกเหมือนกับเอทิลิน   เกษตรกรบางรายเริ่มนำ   เอทิฟอน   เข้ามาใช้พ่มผลไม้   แต่ยังไม่ผู้ใดให้คำยืนยันในเรื่องพิษตกค้างของสารนี้   เอทีฟอนเป็นสารปลดปล่อยเอทิลีนซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง   เช่น   ใช้ในการเร่งดอกสับปะรด   เร่งการไหลและเพิ่มปริมาณน้ำยางพาราและยางมะละกอ   เร่งการแก่ของผลไม้บนต้นไม้แก่พร้อมกัน   เช่น   เงาะ   มะม่วง   ลองกอง  องุ่น   มะเขือเทศ   กาแฟ   เร่งการแก่ของใบยาสูบ   และมีแนวโน้มที่จะนำสารนี้มาใช้ประโยชน์ได้อีกมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเร่งการแก่และการสุกของผลไม้

                สารชะลอการเจริญเติบโตของพืช   มีผลยับยั้งจิบเบอเรลลิน   ดังนั้น   ลักษณะใดก็ตามที่ถูกควบคุมโดยจิบเบอเรลลิน   ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการใช้สารชะลอการเจริญเติบโตคุณสมบัติสำคัญของสารกลุ่มนี้คือ   ยับยั้งการยืดตัวของปล้อง   ทำให้ต้นเตี้ย   กะทัดรัด   จึงมีประโยชน์มากในการผลิตไม้กระถางประดับเพื่อให้มีทรงพุ่มสวยงาม   (compact)   และยังมีประโยชน์สำหรับการผลิตไม้ผลโดยระบบปลูกชิด   ( high   density   planting)   คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของสารคือ  ทำให้พืชทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม   ดังนั้นจึงอาจใช้เพิ่มผลผลิตผักกาดขาวปลี   และผักกาดเขียวปลี   ซึ่งปลูกในฤดูร้อนได้   ประโยชน์ที่สำคัญของสารชะลอการเจริญเติบโตคือ   สามารถเร่งดอกไม้ผลบางชนิดได้   เช่น   การใช้พาโคลบิวทราโซล   กับมะม่วงและลิ้นจี่   ทำให้มีช่อดอกมากขึ้นและการออกก่อนฤดูกาลปกติ   ทั้งนี้เนื่องจากสารชะลอการเจริญเติบโตมีผลลดปริมาณจิบเบอเรลลินภายในต้น   ซึ่งจิบเบอเรลลินมีผลยับยั้งการออกดอก   ดังนั้นเมื่อจิบเบอเรลลินน้อยลงกว่าปกติ   จึงทำให้ไม้ผลเหล่านี้ออกดอกได้

                6.   สารยับยั้งการเจริญเติบโตของพืช   จากคุณสมบัติสำคัญในการยับยั้งการแบ่งเซลล์ของพืช   จึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ในบางกรณี   เช่น   การใช้   มาเลอิกไฮดราไซด์ยับยั้งการงอกของหัวใหญ่มันฝรั่ง   ใช้ในการชักนำให้เกิดการพักตัวของต้นส้มเพื่อการสะสมอาหารสำหรับออกดอก   สารยับยั้งการเติบโตมีผลยับบั้งการแบ่งเซลล์ในบริเวณปลายยอด   หรืออาจกล่าวได้ว่า  มีผลทำลายตายอด   จึงทำให้ออกวินไม่สามารถสร้างขึ้นที่ปลายยอดได้   เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ตาข้างเจริญออกมาแทน   ซึ่งเป็นประโยชน์ในแง่ของการบังคับให้ต้นแตกกิ่งแขนงได้มาก   เช่นการใช้   มาเลอิก   ไฮดราไซด์   เพื่อการแตกพุ่มของไม้พุ่มหรือไม้ที่ปลูกตามแนวรั้ง   การใช้คลอฟลูรีนอล   เพิ่มจำนวนหน่อของสับปะรดและสับปะรดประดับ   อย่างไรก็ตามประโยชน์ของสารกลุ่มนี้ยังมีน้อยมาก   เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ

                7.   สารอื่น ๆ  เป็นสารซึ่งมีคุณสมบัติผิดแปลกออกไป   จนไม่อาจชี้เฉพาะลงไปได้   แต่ก็มีการใช้สารในกลุ่มนี้เพิ่มผลลิตพืชหลายชนิด   เช่นกัน   ได้แก่   การใช้เออร์โกสติมในการเพิ่มขนาดผลส้มหรือเพิ่มขนาดและน้ำหนักของผลสตรอเบอรี่   เพิ่มน้ำตาลในอ้อย   โดยใช้ข้อควรระวังในการใช้สารควบคุมการเจริญเติบโต

                สารควบคุมการเจริญเติบโตเป็นสารเคมีการเกษตรชนิดหนึ่งซึ่งจัดว่าเป็นสารที่มีพิษเช่นกัน   ดังนั้นการใช้สารเหล่านี้จึงต้องให้ความระมัดระวังเช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลง   เช่น   ห้ามใช้มือคนสาร   หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเข้มข้นโดยตรง   สวมชุดที่สามารถป้องกันการฟุ้งกระจายของสาร   และอื่น ๆ  ตามหลักเกณฑ์เพื่อความปลอดภัยในการใช้สารพิษ
                โดยทั่วไปแล้ว   สารเหล่านี้มักสลายตัวได้ง่าย   ซึ่งจะทำให้เสื่อมประสิทธิภาพได้เร็ว   จึงควรเก็บรักษาไว้ในที่เย็นและไม่ถูกแสง   ควรผสมสารให้เพียงพอต่อการใช้ในแต่ละครั้งเท่านั้น   และเพื่อความมั่นใจในประสิทธิภาพของสารจึงไม่ควรใช้สารที่เก็บรักษาไว้นานเกิน  2  ปี

อ้างอิง

สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช

www.rta.mi.th/25020u/25022u/data9/newtheormy.pdf


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น